“บิ๊กตู่” กำชับศธ. สร้างความเข้าใจครูรับหลักสูตรฐานสมรรถนะ - hongpagkru

12 ต.ค. 2564

“บิ๊กตู่” กำชับศธ. สร้างความเข้าใจครูรับหลักสูตรฐานสมรรถนะ



        รมว.ศธ.เผย นายกรัฐมนตรี ห่วงปรับหลักสูตรใหม่ กำชับติวเข้มสร้างความเข้าใจครูในการใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะด้วย ยัน วัคซีนนักเรียนมีเพียงพอ พร้อมเก็บเด็กรอบตกหล่น

        เมื่อวันที่ 12 ต.ค. น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สอบถามถึงเรื่องกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ปรับปรุงหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะ ซึ่งได้นำร่องการใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จำนวน 265 โรงเรียนใน 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ กาญจนบุรี ศรีสะเกษ ระยอง สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส โดยนายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่วงว่าเมื่อมีการปรับปรุงหลักสูตรใหม่อยากให้กระบวนการนำไปใช้มีประสิทธิภาพ และครูจะต้องมีการพัฒนาพร้อมรับกับการสอนตามหลักสูตรใหม่ด้วย ซึ่งขอให้ ศธ.ดำเนินการสร้างความเข้าใจให้แก่ครูอย่างดี เนื่องจากครูเป็นหัวใจสำคัญของการจัดการเรียนการสอน เพราะจะต้องนำหลักสูตรมาถ่ายทอดสู่ผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนได้เข้าถึงการเรียนรู้ตามหลักสูตรฐานสมรรถนะ ทั้งนี้ได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไปจัดทำแผนพัฒนาครูตามหลักสูตรใหม่แล้ว เนื่องจากจะมีการขยายผลไปยังโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล และโรงเรียนอื่นๆ ต่อไป ดังนั้นจะต้องเตรียมแผนพัฒนาครูรองรับไว้

        รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ส่วนการฉีดวัคซีนไฟเซอร์นักเรียนอายุระหว่าง 12-17 ปีนั้น ขณะนี้ข้อมูลได้ทยอยแจ้งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และการฉีดวัคซีนให้นักเรียนไปแล้วกว่า 700,000 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 80 ซึ่งคาดว่าจะเป็นไปตามแผนเป้าหมายที่เราวางไว้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ ศธ.เตรียมแผนรองรับไว้สำหรับนักเรียนในรอบตกหล่นด้วย โดยยืนยันว่าวัคซีนมีอย่างเพียงพอ ดังนั้นหากนักเรียนคนไหนพร้อมจะฉีดวัคซีนแล้วสามารถแจ้งความประสงค์ที่โรงเรียนได้ สำหรับการตรวจ ATK ในการระหว่างการเปิดเรียนนั้น ขณะนี้กำลังประสานกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ว่าจะมีการดำเนินการอย่างไรบ้าง ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าอาจจะไม่ได้มีการตรวจ ATK ทุกโรงเรียน แต่อาจอยู่ในรูปแบบการสุ่มตรวจมากกว่า หรืออาจตรวจเฉพาะในบางพื้นที่ที่มีความเสี่ยงที่ยังมีการระบาดหนักอยู่


ขอบคุณเนื้อหาจาก: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์